รีวิวหนัง วิเคราะห์หนัง เรื่อง ‘Crash Landing On You ปักหมุดรักฉุกเฉิน’ นี่มันยัยตัวร้ายกับนายเย็นชา บนสารคดีเกาหลีเหนือชัด ๆ !!
‘ยุนเซริ (รับบทโดย ซนเยจิน)’ ทายาทสาวตระกูลดังในเกาหลีใต้ ที่กำลังเล่นร่มร่อนและเกิดอุบัติเหตุจนพลัดตกเข้าไปในเขตพื้นที่ของประเทศเกาหลีเหนืออย่างไม่ได้ตั้งใจ ทำให้เธอได้พบกับ ‘รีจองฮยอก (รับบทโดย ฮยอนบิน)’ เจ้าหน้าที่หนุ่มจากกองทัพของเกาหลีเหนือที่มาพบกับเธอเข้า และตัดสินใจไม่สังหารเธอตั้งแต่แรกเห็นตามที่กฎหมายได้บัญญัติเอาไว้ แต่เขากลับเลือกที่จะพาเธอไปซ่อนตัวและพยายามช่วยเธอให้หาทางกลับไปที่ฝั่งเกาหลีใต้ได้อย่างปลอดภัยในทันที โดยที่ทั้งเธอและเขาแทบไม่ได้รู้ตัวเลยว่า …ระยะเวลาที่พวกเขาได้อยู่ด้วยกันแม้ว่ามันจะสั้น แต่มันช่างมีความสุขมากกว่าที่ใดบนโลกใบนี้เสียอีก
ชอบจริง ๆ เวลาที่หนังหรือซีรีส์เกาหลีพยายามจะนำเสนอความแปลกใหม่ผ่านพล็อตเรื่องหรือแง่มุมของอาชีพแปลก ๆ ที่เรามักจะไม่ค่อยได้พบเห็นหรือแม้กระทั่งให้สนใจในเบื้องลึกของเรื่องราวเหล่านั้นซะด้วยซ้ำ เช่นเดียวกับซีรีส์เกาหลีเรื่องนี้ ‘Crash Landing On You ปักหมุดรักฉุกเฉิน’ ที่เราค่อนข้างเซอร์ไพรส์อยู่เหมือนกัน กับการหยิบเอาเรื่องราวและวิถีชีวิตของ ‘เหล่าสหายในเกาหลีเหนือ’ ดินแดนลับตาที่ทั้งโลกแทบไม่เคยได้สัมผัส มาร้อยเรียงให้เข้ากับเรื่องราวความรักโรแมนติกของหญิงชาย ในสไตล์ซีรีส์เกาหลีออริจินัลที่มีเรื่อง ‘ความรักบนเส้นขนาน’ เป็นจุดขายสำคัญของเรื่อง ประหนึ่งว่ากำลังดู ‘คู่กรรมเวอร์ชันเกาหลี’ อยู่ก็มิปาน (ศัพท์ก็เก่าเกิ๊นน) คือแค่ได้อ่านเรื่องย่อคร่าว ๆ ที่หน้าเว็บไซต์ Netflix ก็สามารถตกคนให้เข้าไปดูต่อได้ไม่ยากแล้วอะ
ซึ่งเราต่างรู้กันดีอยู่แล้วว่าประเทศเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้มีปมขัดแย้งอะไร และมันจะกลายเป็นเรื่องราวอันตรายแค่ไหน ถ้านางเอกของเรื่องอย่าง ‘ยุนเซรี’ บังเอิญร่อนเครื่องร่อนแล้วตกลงไปในระหว่างพรมแดนเกาหลีเหนือ-เกาหลีใต้ หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘DMZ เส้นขนานที่ 38’ ซึ่งในขณะนั้น ‘รีจองฮยอก’ พระเอกของเราก็กำลังลาดตระเวนอยู่ในพื้นที่นั้นพอดี โดยความน่าสนุกอย่างแรกของเรื่องที่อยากจะพูดถึงนั่นก็คือ การที่ซีรีส์สามารถพาคนดูไปเบิกเนตร เพิ่มความรู้ให้สมอง และเปิดมุมมองใหม่ของประเทศลับแลอย่าง ‘เกาหลีเหนือ’ ได้กว้างขวางอย่างที่เราแทบไม่เคยได้เห็นในซีรีส์เกาหลีเรื่องไหนมาก่อนเลยก็ว่าได้ ยอมรับเลยว่าตื่นตาตื่นใจเและตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย ที่ได้เห็นได้รู้จักแง่มุมและวิถีชีวิตฉบับคนเกาหลีเหนือมากขึ้น ผ่านการนำเสนอที่ทั้งละเอียดอ่อนและด้วยงานภาพที่สวยงามตระการตา ที่ถึงแม้เราจะรู้ดีอยู่แล้วว่าบางอย่างในภาพเหล่านั้น มันอาจจะไม่ได้สวยงามอย่างที่เราเห็น(เช่นฉากวิ่งบนทุ่งสังหาร) แต่มันก็ทำให้มุมมองที่เคยมีต่อประทศเกาหลีเหนือนั้นเปลี่ยนไปได้มากอยู่เหมือนกัน
คือต้องชื่นชมความใส่ใจของทีมเขียนบทที่สามารถสอดแทรก ‘ความจริง(บางส่วน)’ ลงไปในเรื่องสมมติได้อย่างลื่นไหลและเฉียบคม เพราะทั้งเรื่องเราจะได้เห็นมุกตลกร้ายระหว่างคนเกาหลีใต้(นางเอก) และคนเกาหลีเหนือ(พวกพระเอก) เช่น “เมื่อเรารวมประเทศกัน ฉันจะ…” ที่หากว่าใครได้ดูก็จะรู้ว่ามันฮาและน่าเอ็นดูแค่ไหนตอนที่พูดออกมา แต่ความเป็นจริงแล้วมันช่างน่าเศร้าและขมขื่นเหลือเกิน เพราะเรารู้กันดีอยู่แล้วว่าประโยคนี้มันเกิดขึ้นจริงได้ ‘ยาก’ แค่ไหน
เช่นเดียวกันกับฉากหนึ่งที่นางเอกพูดกับพระเอกก่อนจะจากกันว่า “ฉันไปถึงแอฟริกา ไปถึงขั้วโลกใต้ก็ยังได้ น่าเสียดายนะที่คุณดันอยู่ที่นี่” ใช่ คำบอกลานี้มันอาจจะไม่ได้ลึกซึ้งกินใจอะไรนัก ถ้ามันไม่ได้อยู่ในเรื่องราวของผู้หญิงเกาหลีใต้คนหนึ่ง ที่เริ่มรู้ตัวแล้วว่ากำลังตกหลุมรักชายชาวเกาหลีเหนือคนนั้น มันจึงเป็นบทสนทนาที่แสนจะง่ายดาย แต่ทว่ามันกลับสร้างความรู้สึกและตกตะกอนอะไรบางอย่างในใจเราได้มากมาย เรียกได้ว่าแค่ 4 ตอนแรก ซีรีส์เรื่องนี้ก็ตีโจทย์ของความรักบนความเจ็บแบบหน่วง ๆ ได้แตกกระจุยไปเลยทีเดียว
สุดท้ายนั้นสิ่งหนึ่งที่ประทับใจเราที่สุดก็คือ ซีรีส์เรื่องนี้ทำหน้าที่ ‘สะท้อนสังคม’ ได้อย่างสร้างสรรค์และน่าสนใจ เพราะมันกล้าพูดกล้านำเสนอสังคมในด้านที่คนดูอยากเห็นและให้ความสนใจได้จริง ทั้งเรื่องความเหลื่อมล้ำของทั้งสองประเทศ เรื่องความต่างของภาษา ปัญหาคอร์รัปชันในกองทัพ และชีวิตความเป็นอยู่ของสองสังคมที่แม้จะใกล้กันแค่ไหนแต่ก็เหมือนกับคนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ผ่านเรื่องราวครบรสที่มีทั้งความรัก ความฮา สืบสวนปริศนา และบู๊ระห่ำได้อย่างอร่อยกลมกล่อม ถือเป็นอีกหนึ่งงานคุณภาพจากแดนกิมจิที่เหมาะสมจะเป็นซีรีส์ฟอร์มยักษ์สำหรับปลายปีนี้จริง ๆ น่ะแหละค่ะ