รีวิวหนัง วิเคราะห์หนัง : ร่างทรง
เรื่องราวของการสืบทอดทายาทร่างทรง ย่าบาหยัน ของครอบครัวหนึ่งในภาคอีสานของไทย เมื่อทายาทรุ่นปัจจุบันไม่อยากรับช่วงต่อแต่ก็ไม่อาจฝืนชะตาได้ นำมาสู่เรื่องราวเขย่าขวัญคนทั้งโลก เรื่องเกริ่นขึ้นใน ปี 2018 ทีมงานสารคดีทำข้อมูลเรื่องราวเกี่ยวร่างทรง และไปพบเจ้าของเรื่องอย่าง ป้านิ่ม (เอี้ยง-สวนีย์ อุทุมมา) ที่เป็นร่างทรง ‘ย่าบาหยัน’ ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำท้องถิ่นในจังหวัดเลย ที่น่าสนใจคือย่าบาหยันจะสืบทอดกันต่อเฉพาะลูกหลานที่เป็นผู้หญิงในตระกูลของป้านิ่มเท่านั้น โดยคนที่มีแนวโน้มรับต่อในปัจจุบันมากที่สุดคือ มิ้งค์ (ญดา-นริลญา กุลมงคลเพชร) ลูกของพี่สาวป้านิ่มนั่นเอง ทำให้ทีมสารคดีขออนุญาตถ่ายทำป้านิ่มและครอบครัวในปี 2019 จนได้มาเจอเรื่องราวต่าง ๆ และตัดสินใจเปลี่ยนหัวข้อของสารคดีจากเรื่องว่าร่างทรงคืออะไร มาเป็นเรื่องของการสืบทอดร่างทรงแทน
เรื่องราวที่เราจะได้รับชมทั้งหมดในหนังเรื่อง “ร่างทรง” จึงมาจากสายตาของทีมงานสารคดีนี้ทั้งสิ้น นี่คือการกลับมารับงานหนังสยองขวัญครั้งล่าสุดของ โต้ง – บรรจง ปิสัญธนะกูล ผู้กำกับชั้นแนวหน้าในปัจจุบันของไทยจากทั้งผลงานของการปลุกกระแสผีไทยจาก “ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ” (2547) จนมาถึงสร้างประวัติศาสตร์หนังไทยพันล้านจากหนังสยองปนขำเรื่อง “พี่มากพระโขนง” (2556) ทำให้ทุกสายตาจับจ้องมาที่ตัวเขาในทุกย่างก้าว
และรอบนี้ก็เรียกว่าเป็นบันไดก้าวแรกสู่ระดับนานาชาติของบรรจงอย่างแท้จริง เพราะเขาได้รับการทาบทามให้ร่วมงานกับผู้กำกับเกาหลีชื่อดังระดับเวทีนานาชาติอย่าง นาฮงจิน ที่เคยมีผลงานแนวสยองขวัญเรื่อง “The Wailing” (2016) ที่ได้รสชาติสยองชวนคิดที่น่าสนใจ และหนังเรื่อง “ร่างทรง” ก็ไปคว้าอันดับ 1 ในบ็อกซ์ออฟฟิศของเกาหลีมาได้ด้วยอย่างงดงามเมื่อกลางปีที่ผ่านมา พร้อมคำชื่นชมในดีกรีความโหดขนหัวลุกของหนัง แน่นอนว่านี่คือความภูมิใจของคนไทย โดยไม่ต้องสนใจว่าหนังจะออกมาหน้าตาเป็นอย่างไร
ถ้าจะนับว่าอะไรที่ นาฮงจิน ส่งผลด้านดีต่อหนังนอกไปจากโครงเรื่องตั้งต้นที่เดิมเขาตั้งใจไว้ทำ “The Wailing” ภาค 2 นั่นก็คือ แนวทางการสร้างฉากและบรรยากาศของหนัง ที่มีกลิ่นฝนชื้นในชนบทดูเยือกเย็น ชวนเร้นลับ และภาพแปลกตาของพิธีกรรมความเชื่อที่แฝงอยู่ในชีวิตของคนได้อย่างน่าทึ่ง ฉากหลังเป็นตัวละครสำคัญอีกตัวหนึ่งที่ขาดไปรับรองหนังมีกร่อยลงแน่ ๆ
และต้องบอกว่าดีไซน์ของทีมงานคนไทยไม่ใช่ย่อย ๆ เลย ไม่ว่าจะฉากหุบผาที่สถิตของรูปปั้นของย่าบาหยัน รวมถึงตึกร้างที่รากไม้ชอนไชเป็นทรวดทรงน่าขนลุก นี่คือ 2 ฉากเด่น ที่แค่เห็นไม่ต้องเอาดนตรีหรืออะไรเข้าช่วยก็ชวนขนลุกแล้ว พอประกอบกับดนตรีที่สร้างอารมณ์ร่วมมาก ๆ และการแสดงแบบเหมือนประทับร่างของนักแสดงสายฝีมือล้วน ๆ ทั้งตัวหลัก ตัวรอง ตัวประกอบ (เนี้ยบยันตัวประกอบนี่สำหรับหนังไทยคือคุณภาพสูงมาก) และบทหนังที่ปั่นหัวคนดูไปมา มันจึงเป็นหนังที่มีพลังที่สูงมาก ต้องปรบมือในการเลือกใช้นักแสดงที่เอาชื่อชั้นฝีมือเข้าว่าจริง ๆ
ครึ่งหลังของหนังเพียว ๆ จัดได้ว่า ตึงเครียด ปั่นประสาท ขนหัวลุก และน่ากลัวมาก ๆ บางช่วงทำเอาคลื่นไส้มวนท้อง อาจเพราะความมืดของโรง การเคลื่อนภาพที่สมจริงสั่นไหวเหมือนอยู่ในสถานการณ์ ดนตรีที่โหมกระหน่ำ การตัดต่อที่ฉับไว ต้องยกความดีครึ่งหนึ่งให้กับการชมในโรงภาพยนตร์จริง ๆ ถ้าจอเล็กกว่านี้ มืดน้อยกว่านี้ ดนตรีไม่ดังอย่างนี้ มันคงไม่ได้ผลตามที่คนทำหนังต้องการนัก แล้วเรื่องไล่ระดับอารมณ์ได้ดีไม่มีหย่อนแบบอัดแล้วอัดเล่าใส่หัวใจคนดูตลอดครึ่งเรื่องหลังแบบดีมากก
อีกความน่าชื่นชมของหนังคือความรุนแรงของเรื่อง กล้าที่จะท้าทายข้อห้ามจารีตสังคมไทยซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้อย่างน่าชื่นชมในความฉลาดไม่โฉ่งฉ่าง คงเล่าไม่ได้ว่าทาบูที่โดนขยี้ย่ำนั่นเป็นอะไรบ้าง แต่เห็นความจงใจลองของตรงนี้ชัดเจน ถ้าฝีมือการเล่าด้อยกว่านี้ รับรองไม่ผ่านหน่วยงานหั่น-แบนของไทยแน่นอน (และชื่อ GDH ก็อาจเป็นเกราะช่วยประมาณหนึ่ง) และที่สำคัญอาจกลายเป็นหนังไร้รสนิยมไปได้ง่าย ๆ ทีเดียวกับการเล่นของโสมมทั้งทางสายตาและทางจิตใจ
อีกส่วนที่ก้ำกึ่งว่าจะดีหรือไม่ดี แต่ส่วนตัวชอบกว่าครึ่งหลังเพียว ๆ เสียอีก คือการหย่อนรายละเอียดในชีวิตของตัวละครได้อย่างน่าสนใจมาก ทั้งเรื่องที่พี่น้องไม่เต็มใจเป็นร่างทรง จนถึงขั้นมีความพยายามหนีปัญหาด้วยวิธีที่ผิด ๆ หรือการหนีไปพึ่งพระเจ้าอีกศาสนา อะไรพวกนี้น่าสนใจมาก ๆ ถ้าเป็นหนังสารคดีจริง ๆ เราคงเห็นแง่มุมพวกนี้ประเทืองปัญญาเราได้อีกมาก แต่เมื่อมันอยู่ในหนังสยองมันเลยมีที่ทางได้จำกัด และทำให้ครึ่งแรกของหนังคาบลูกคาบดอกระหว่างความน่าสนใจกับความน่าเบื่อเท่าไหร่ เพราะมันประดิษฐ์เล่าผ่านการให้สัมภาษณ์ตัวละครต่าง ๆ อยู่มาก บทสนทนาเองก็ค่อนข้างเยอะเพื่อปูภูมิหลังและอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นในหนังในช่วงที่ภาพยังเล่าเรื่องลึกซึ้งด้วยตนเองลำบาก
การตัดต่อ อาจรวมถึงการเล่าเรื่อง แม้จะทำได้ดีมาตลอดทั้งเรื่อง แต่ก็เห็นความแปลกอยู่บ้างกันเช่น ความพยายามหลอกให้หลงทางแต่หลงไม่สุด เพราะแอบหยอดอยู่ว่าไม่ใช่นะ ทำให้พอเฉลยก็ไม่ได้รู้สึกว้าวนัก ซึ่งมีการตัดต่อที่ดูลำดับแปลก ๆ อยู่เช่นกัน จากที่ปกติควรให้คนดูตะลึงว่าเข้าใจผิด แล้วค่อยไปดูผลอีกด้าน กลับเลือกไปให้ดูผลอีกด้านที่ทำให้คนเดาออกทันทีก่อนที่จะไปตกใจกับการเฉลยของหนัง
นี่เป็นบาดแผลใหญ่ที่ผู้สร้าง “ร่างทรง” ละเลยไปแบบไม่น่าเชื่อเลย ทั้งที่คิดใส่รายละเอียดในตัวละครไว้อย่างดิบดีน่าสนใจ เลือกนักแสดงมาถ่ายทอดอารมณ์ได้ถึงพริกถึงขิง แต่ตัวละครที่อยู่กับผู้ชมตลอดเรื่องอย่างทีมงานสารคดี ผู้สร้างกลับลืมใส่ความเป็นมนุษย์ลงไป ที่เจ็บปวดที่สุดคือตัวละครหลังกล้องสารคดีพวกนี้นี่ล่ะที่ทำหน้าที่เล่าเรื่องแทนสายตาผู้ชมตลอดทั้งเรื่อง หนังที่ออกแบบคิดงานมาอย่างดีเสียเวลาสร้างไปหลายปีเพื่อให้คนอินให้คนดำดิ่งแยกความจริงกับเรื่องสมมติออกได้ยาก จึงพังลงด้วยความไม่น่าเชื่อของตัวแทนการเล่าเรื่องที่ว่ามานี้เองน่าเสียดายนะครับ