รีวิวหนัง วิเคราะห์หนัง :บ๊ายบายแม่จ๋า’ เมื่อสุดท้ายความตายคือบทเรียนชีวิตที่ดีที่สุด
เรื่องราวของ ‘ชายูริ’ (รับบทโดย คิมแทฮี) หญิงสาวท้องแก่ที่เสียชีวิตแล้วกลายเป็นวิญญาณ แต่ความรักและความคิดถึงลูก ทำให้เธอไม่สามารถจากโลกไปและคอยวนเวียนอยู่เคียงข้างลูกสาว ‘โจซออู’ (รับบทโดย ซออูจิน) มาตลอด 5 ปี แต่เธอไม่เคยรู้เลยว่าการวนเวียนอยู่ข้าง ๆ จะทำให้ลูกของเธอจิตอ่อน และเริ่มที่จะมองเห็นวิญญาณ จนกระทั่งเธอได้รับโอกาสให้กลับมามีชีวิตอีกครั้งเป็นเวลา 49 วัน โดยมีเงื่อนไขว่า
หากเธอสามารถกลับไปอยู่จุดเดิม ก่อนที่เธอจะตายจากมาได้ เธอจะได้กลับมาเป็นมนุษย์อีกครั้ง และมันคงจะเป็นเรื่องที่น่าดีใจสุด ๆ ถ้านั่นไม่ได้หมายความว่าเธอต้องเข้าไปแทรกกลางระหว่าง ‘โจคังฮวา’ (รับบทโดย อีคยูฮยอง) สามีเก่าของเธอที่กำลังพยายามเริ่มต้นชีวิตใหม่กับ ‘โอมินจอง’ (รับบทโดย โกโบกยอล) หญิงสาวที่ก้าวเข้ามาเป็นแสงสว่างในชีวิตให้กับเขาอีกครั้งในฐานะภรรยาและออมม่าของลูกสาวที่เธอรักที่สุด
อาจเป็นเพราะหน้าหนังที่มันดูเป็นหนังครอบครัวอบอุ่น แบบที่ทางเราเองก็ไม่ค่อยจะสันทัดเท่าไหร่นัก แต่พอได้ตั้งใจทำความรู้จักซีรีส์เรื่องนี้แบบจริงจัง คือมันสนุกตั้งแต่ช่วงแรกที่ได้ดูไปลุ้นไปว่า “ถ้าได้เจอคนที่ตายไปแล้วอีกครั้ง แต่ละคนจะมีรีแอ็กชันกันยังไงกันนะ?” สามีที่แต่งงานใหม่และกำลังจะมูฟออน เพื่อนสนิทที่อาจไม่สนิทกับเราอีกแล้ว ลูกที่ไม่รู้จักเราแถมยังรักแม่เลี้ยงมากกว่าสิ่งใดในโลก การกลับมาที่ดูจะผิดที่ผิดทางเหมือนจะเป็นบทลงโทษมากกว่าของขวัญเสียด้วยซ้ำ เราจึงจะได้เห็นมุมมองต่อการกลับมาของ ชายูริที่หลากหลายผ่านสายตาของแต่ละตัวละคร แม้จะเคยดูซีรีส์ที่เกี่ยวกับโลกหลังความตายมาแล้วหลายเรื่อง แต่การให้ตัวละครที่ตายไปแล้วกลับมามีชีวิตแบบปกติธรรมดานี่แหละที่ทำให้เรามองเห็นแง่มุมการใช้ชีวิตได้อย่างลึกซึ้งและเข้าถึงเรื่องราวของตัวละครได้อย่างง่ายดาย แค่ลองคิดเล่น ๆ ว่าถ้าเรามีเวลาเหลืออีกแค่เพียง 49 วัน เราจะใช้มันยังไงให้คุ้มค่าที่สุด ก่อนจะจากไปตลอดกาล…
โลกหลังความตายที่เราสามารถเลือกได้ว่าจะไปเกิดใหม่หรือไม่ หรือจะเป็นวิญญาณอยู่ข้าง ๆ คนที่เรารักนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้แตกต่างจากเรื่องอื่นอย่างสิ้นเชิง ที่ผ่านมาเรามักจะได้เห็นบาดแผลและการเยียวยาของคนเป็นที่ต้องเผชิญความเจ็บปวดอย่างท่วมท้น แต่คราวนี้เราจะได้เห็นอีกมุมมองของคนตายไปแล้วที่ยังมีห่วง และสิ่งที่ทำให้พวกเขาไปสู่สุคติไม่ได้ ซึ่งเรื่องราวของของชายูริก็ได้สื่อสารออกมาถึงสัจธรรมของการจากลา ที่สุดท้ายมันก็เป็นเรื่องธรรมชาติ คนเราวันหนึ่งก็ต้องจากไป และเมื่อถึงเวลานั้นการยอมรับและเผชิญหน้ากับความเป็นจริงนี่แหละที่จะทำให้เราก้าวเดินต่อไปได้ แม้ว่าการจากลาจะทำให้รู้สึกราวกับว่าโลกถล่มทลาย แต่เมื่อคนที่เรารักจากไปย่อมทิ้งตัวตนไว้ในเศษเสี้ยวความทรงจำและชีวิตเราไม่ทางใดก็ทางหนึ่งเสมอ และเมื่อเราได้ระลึกถึงสิ่งเหล่านั้น เราก็จะมองเห็นความงดงามของการจากลาได้ในที่สุด เหมือนประโยคหนึ่งในเรื่องที่กล่าวว่า “กลีบดอกร่วงหล่น แต่ดอกไม้ยืนยง ส่วนกลิ่นที่ยังหลงเหลืออยู่ในโลกนี้ ฝังลึกลงไปในความทรงจำของเรา…”
เพราะทีมหลักของซีรีส์เรื่องนี้ให้เน้นความสำคัญไปที่ความรักของแม่และลูก แน่นอนว่าเราจะได้เห็นถึงความรักของชายูรีที่มีต่อลูกน้อยของเธอ แต่ขณะเดียวกันเราก็ยังได้เห็นความรักที่แม่ของชายูรีมีต่อเธอในฐานะลูกสาวเช่นเดียวกัน
แม่ที่ต้องสูญเสียลูกไปก่อนเวลาอันควร โดยที่ไม่มีโอกาสได้บอกลา เธอต้องใช้พลังใจแค่ไหนในการก้าวผ่านความเจ็บปวดครั้งนี้ไปได้ และการที่ชายูริกลับมามีชีวิตอีกครั้งก็ยิ่งทำให้เราเข้าใจว่า แท้จริงแล้วความรักของคนเป็นแม่นั้น ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนไปมากกว่าการอยากเห็นลูกมีความสุขเพียงเท่านั้น นอกจากนี้เรายังจะได้เห็นความรัก ความสัมพันธ์ และมิตรภาพในอีกหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะครอบครัว เพื่อน คนรัก คนรู้จัก รวมไปถึงความสัมพันธ์ของเหล่าผี ๆ ที่ยิ่งทำให้เรารู้สึกอบอุ่น อิ่มเอมไปทั้งหัวใจ จนต้องดูไปยิ้มไป แต่ละตัวละครก็จะมีเรื่องราว ของตัวเอง ที่ดูแล้วอดไม่ได้ที่จะหวนคิดถึงความสัมพันธ์ของเรากับคนรอบข้าง
ประเด็นที่เราชอบมากเป็นพิเศษอีกอย่างคือ บทใส่ความแข็งแกร่งลงไปในตัวละครผู้หญิงเรื่องนี้ค่อนข้างมาก อย่างตัวชายูริเองนั้น ก็ไม่ได้ต้องการจะกลับมาในฐานะภรรยา หรือจะมาแทรกกลาง ระหว่างความสัมพันธ์ครั้งใหม่ของโจคังฮวาเลยแม้แต่น้อย เธอเพียงแค่อยากกลับมาอยู่ข้าง ๆ ลูกน้อยเท่านั้น รวมถึงความสัมพันธ์ของชายูริกับโอมินจองในฐานะแม่แท้ ๆ กับแม่เลี้ยง (ที่ไม่ได้ใจร้ายเหมือนในนิทาน) ก็มักจะแสดงออกมาให้เราเห็นว่าพวกเธอทั้งคู่ต่างชื่นชมและหวังดีต่อกันและกันมากกว่าจะคิดร้ายต่อกันเสียอีก รวมถึงอีกหนึ่งสมาชิกในแก๊งค์อย่างรุ่นพี่ ‘โกฮยอนจอง’ ที่เป็นการรวมตัวกันสามคนแบบงง ๆ แต่ทำให้เราซาบซึ้งใจในมิตรภาพของคำว่าเพื่อนได้อย่างแท้จริงเลยล่ะ
แม้ว่าซีรีส์เรื่องนี้จะมีเนื้อหาที่ค่อนข้างดราม่าหนักหน่วง แต่คนเขียนบทก็เลือกที่จะใส่ความโรแมนติกและคอมเมดี้ ผ่านความเป็นธรรมชาติของแต่ละตัวละครออกมาได้อย่างจริงใจ ทำให้เรื่องราวดำเนินไปอย่างฟีลกู๊ด ดูแล้วไม่เครียดมากจนเกินไป นอกจากนี้ยังมีบทสรุปของแต่ละตอนที่ให้แง่คิดและทำให้เราตกตะกอนความรู้สึกบางอย่างออกมาได้อย่างเข้าใจชีวิตมากยิ่งขึ้น แถมยังช่วยให้เรารู้สึกเชื่อมโยงกับเรื่องราวของพวกเขาได้ดีทีเดียว รวมถึงการเล่าเรื่องแบบ Flashback กลับไปเป็นระยะในช่วงเวลาของโจคังฮวากับชายูริเมื่อ 5 ปีก่อน ก็ดึงดราม่าสะเทือนอารมณ์ให้เราน้ำตาแตกได้ทุกอีพี นับเป็นเสน่ห์อีกหนึ่งอย่างที่ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้เปรียบเหมือนอาหารจานพิเศษที่ปรุงรสมาได้อย่างกลมกล่อม ดูแล้วสุข ซึ้ง เศร้า กินใจตั้งแต่ต้นเรื่องลากยาวไปจนกระทั่งตอนจบเลยทีเดียว