รีวิวหนัง วิเคราะห์หนัง : Homestay 2018
ด้วยชื่อของค่ายอย่าง GDH ทำให้ไม่ว่าหนังเรื่องไหนก็ตามที่จ่อคิวเข้าโรง หรือมีข่าวเกี่ยวกับโปรเจคหนังใหม่ๆ จึงเป็นที่น่าสนใจมากสำหรับผมและแฟนหนังของค่ายนี้ โดยเรื่องนี้เป็นหนังที่ผมรู้สึกอยากดูมาก ด้วยความที้เป็นหนังแนวแฟนตาซี ดราม่า และมีความเป็นปริศนาอยู่ในเรื่อง สำหรับผมมันเป็นอะไรที่น่าติดตามเป็นอย่างมาก ทำให้หนังที่ดัดแปลงจากการ์ตูนอย่าง Colorful เรื่องนี้จึงเป็นหนังที่ผมอยากดูมากที่สุดเรื่องนึง
เมื่อวิญญาณแร่ร่อนได้มีโอกาศได้ใช้ชีวิตบนร่างของมิน(ธีรดนย์ ศุภพันธุ์ภิญโญ) เด็กหนุ่มที่ตายอย่างเป็นปริศนา ทำให้ผู้คุมของวิญญาณดวงนี้ ต้องการให้วิญญาณตนนี้ ตามหาคนที่เป็นคนฆ่าหรือคนที่ทำให้มินตาย และนี่เองก็เป็นเงื่อนไขของรางวัญที่วิญญาณตนนี้จะต้องชดใช้
ส่วนตัวผมแล้วผมไม่คาดหวังกับหนังเรื่องนี้มาก แม้ผมจะอยากดูเพราะเนื้อเรื่องที่น่าสนใจ แต่ก่อนดูผมยังคิดไม่ออกเลยว่าอารมณ์ของหนังจะไปในทิศทางไหน ซึ่งหลังจากดูจบแล้ว ผมค่อนข้างชอบเลย คือมันเป็นหนัง Coming of Age ที่ทำออกมาได้แปลกใหม่ และน่าสนใจมาก ด้วยการกำกับของพี่โอ๋ ภาคภูมิ วงศ์ภูมิมันทำให้ฉากดูน่าจดจำและมีความน่าสงสัยขึ้นเรื่อยๆในส่วนของปริศนา หนังสร้างปมไว้ได้ดี และเปิดเรื่องมาได้น่าจดจำ ด้วยการเป็นมุมมองแทนสายตาของวิญญาณมันทำให้เรารู้สึกถึงอารมณ์ของตัวละครนั้นมากๆ และพวกซีจีต่างๆ ผมมองว่าเขาทำได้โอเค ไม่ได้แย่ มันเป็นการใช้ซีจีที่จำเป็นต่อเรื่อง ไม่ใช่มีไว้โชว์เฉยๆ และที่ผมชอบเรื่องนี้มากๆอีกอย่างเลยคือการจัดองค์ประกอบศิลป์ในหนัง คือหนังมีช่วงที่ใช้ซีจีอยู่ แต่ผมมองว่าส่วนขององค์ประกอบและการถ่ายภาพของหนังทำออกมาสวยกว่าซีจีอีกสำหรับผม มันมีหลายฉากที่หนังได้โชว์ความงดงามของสถานที่หรือแม้แต่งานภาพที่ผมว่ามันดูดีกว่าซีจีเสียอีก มันทำให้หนังเรื่องนี้ดูน่ามองไปจนจบเรื่อง ถึงแม้โทนภาพจะออกแนวอึมครึม แต่ด้วยฉากต่างๆและการจัดองค์ประกอบของเขามันเลยทำให้ผมชอบเรื่องนี้ไปเลย
หนังเรื่องนี้เป็นหนังดราม่า ฉะนั้นต้องมีซีนที่โชว์ฝีมือการแสดงของนักแสดง ซึ่งเรื่องนี้มีให้เห็นอยู่พอสมควร และที่ผมชอบเพราะหนังมันดราม่าแบบไม่เน้าเน่า แต่เป็นดราม่าครอบครัวที่มันแฝงข้อคิดไว้ในเรื่อง โดยที่หนังไม่ต้องบอกกับคนดู ซึ่งผมดูแล้วผมเข้าถึงและชอบในสิ่งที่ผู้กำกับนำเสนอให้กับผมมากๆและนักแสดงที่ผมว่าเล่นดีมากๆเลยก็คงจะเป็นคุณ สู่ขวัญ บูลกุล ที่เล่นเป็นแม่ของมิน เรื่องนี้ผมเห็นการแสดงในรูปแบบที่เราน่าจะเคยเห็นจากเรื่องอื่นๆของเขาแล้วแหละ แต่เรื่องนี้ผมชอบอยู่ซีนนึง คือซีนที่คุยกับมินอยู่บนรถ ที่มันเป็นซีนสั้นๆในช่วงท้ายของไคล์แมกซ์ ซึ่งผมว่าเป็นซีนที่มันเป็นจุดที่ผมว่ามันสุดยอดมากในหนัง คือตอนนั้นเรื่องราวมันมาถึงจุดที่มันไคล์แมกซ์ที่สุดของเรื่องแล้ว ถ้าไม่ได้คุณ สู่ขวัญ บูลกุล กับ เจมส์ ธีรดนย์ ฉากนี้จะออกมาไม่ได้ขนาดนี้แน่นอนและเจมส์ ธีรดนย์ ที่ในเรื่องรับบทเป็นวิญญาณที้เข้าร่างมิน ผมว่าเขาเป็นนักแสดงที่ผมเห็นเขาเล่นบทบาทต่างๆเยอะมาก และเรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องนึงที่ผมชอบเขาเป็นนักแสดงที่เล่นแล้วเหมือนเป็นตัวละครนั้นจริงๆ และที่สำคัญการที่เขาเล่นเป็นมินในเรื่องนี้มันทำให้เราเห็นว่าเขาพัฒนามาไกลมากๆจากตอนเล่น Hormones และคนที่ผมชอบอีกคนในเรื่องก็คงจะเป็น เฌอปราง อารีย์กุล ที่แสดงหนังเป็นเรื่องแรกในชีวิต แต่ได้รับบทที่ผมว่าสำคัญ และเธอทำออกมาได้น่าประทับใจด้วยลุคที่สดใสและความจริงจังของเธอ มันยิ่งทำให้ตัวละครพายดูเป็นพาย มากกว่าเป็นเฌอปราง และสุดท้ายคนที่ผมว่าเล่นดีมากๆก็คือ เบสท์ ณัฐสิทธิ์ คนนี้ผมชอบตั้งแต่ตั้งวงแล้ว และเรื่องนี้เขาเล่นได้สุดยอดเช่นกัน ผมมองว่าเขาโผล่มาน้อย แต่การแสดงก็สามารถทำให้เราทึ่งกับสิ่งที่เขาเล่นออกมามาก
นี่จึงไม่ใช่หนังที่มีดีแค่เรื่องราวหรือการแสดง แต่ยังเป็นการโชว์ให้เห็นว่าการดัดแปลงจากการ์ตูนให้กลายเป็นภาพยนตร์ไทยก็ทำได้สำเร็จเช่นกันหนังเรื่องนี้ทำให้เรามองย้อนดูตัวเองว่า การมีชีวิตนั้นมีคุณค่ามาก เราจงใช้มันให้เหมือนกับว่าเราจะไม่ได้อยู่ใช้มันอีกแล้ว แต่หนังเรื่องนี้แสดงให้เราเห็นถึงเรื่องราวการเจริญเติบโตของตัวละครเอกที่เราจะได้ไปพบกับเรื่องราวมากมาย ที่มันทำให้ได้เรียนรู้ผ่านความคิดและการแก้ไขปริศนาของเรื่อง ที่ผมว่าหนังเรื่องนี้แฝงมาค่อนข้างดีเลยทีเดียว มันจึงทำให้หนังเรื่องนี้มีคุณค่ามากกว่าความบันเทิง ซึ่งผมชอบที่ GDH สร้างหนังคุณภาพให้พวกเราได้ดู มากกว่าจะเป็นแนวเดิมๆ และนี่ก็เป็นตัวการันตีว่าค่ายหนังค่ายนี้กำลังสร้างความสุขพร้อมกับคุณค่าของงานที่พวกเขาตั้งใจทำมันเป็นอย่างมากให้แก่ผู้ชม และผมก็เป็นอีกคนนึงที่จะสนับสนุนหนังดีๆแบบนี้ต่อไป เพื่อที่จะให้วงการหนังไทยได้เติบโตและมีหนังดีๆแบบนี้ไปอีกนานๆ