และพวกมินเนียนส์ก็กลับมาอีกครั้ง..! หลังจากที่พวกเขาโผล่ไปแจมเป็นองค์ประกอบให้หนังภาคหลัก พวกมันก็กลับมาสานต่อในหนังของตัวเองอีกครั้งใน “Minions 2: The Rise of Gru” ที่แน่นอนว่ากลับมาคราวนี้ พวกเขายังคงฉายเสน่ห์อันเหลือล้นออกมาได้อีกเช่นเคย แม้ว่าจะสัมผัสได้ถึงความตันของไอเดียที่พามาในทิศทางนี้บ้างก็ตาม แต่อย่างน้อย ๆ เหล่าชาวมินเนียนส์ก็ยังสร้างความบันเทิงเริงใจได้เหมือนเคย
Minions 2: The Rise of Gru เล่าราวภายหลังที่พวกไม่นเนี่ยนออกตามหาบรรดาคนร้ายสุดโฉดมาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ป่วนปั่นกระทั่งมาพบกับหนูน้อย กรู เด็กวัยรุ่นน้อยที่วาดวิมานในอากาศจะเปลี่ยนเป็นคนร้ายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก พร้อมทั้งบรรดาลูกน้องตัวสีเหลืองที่เสมือนจะช่วย แต่ว่าดันปั่นป่วนมากยิ่งกว่า ครั้งนี้กรูได้เดินทางไปยังสถานที่เป็นเสมือนที่ประชุมของบรรดาคนร้ายที่ชื่อ Vicious 6 เพื่ออยากเป็นคนร้ายเต็มกำลัง แต่ว่าเนื่องจากว่าเขายังเป็นเด็ก ทำให้บรรดาคนร้ายปฏิเสธ
แน่ๆว่าความฝันของกรูแน่แน่วเกินสิ่งใด เขาเลยตกลงใจพิสูจน์ตนเองด้วยการลักขโมยเพชรนิลจินดาล้ำค่าของคนร้ายตัวแม่ เบลล์ บัทท่อม ทำให้คนร้ายทั้งปวงที่ Vicious 6 ออกตามล่าเขาในทันทีทันใด ไม่ว่าจะเป็นคนร้ายจอมพลัง, แม่ชีสายบู๊ผู้มีตะบองสองท่อนเป็นอาวุธ หรือจะเป็นมนุษย์ที่มีแขนเป็นก้ามปู แต่ว่ากรูก็ไม่น้อยหน้า เนื่องจากว่าเขามีบรรดาเหล่าไม่นเนียนแล้วก็รถจักรยานติดไอพ่นคู่ใจ กรูตกลงใจใช้แผนแยกย้ายล่อลวง โดยให้หนึ่งในไม่นเนียนที่ชื่อ อ็อตโต้ เอาเพชรนิลจินดาหนีแยกไปอีกทาง ส่วนเขาจะเป็นคนล่อพวกคนร้ายเอง
ทุกๆสิ่งทุกๆอย่างดูเหมือนจะเป็นไปตามแผน และก็กรูกำลังจะได้ประกาศแรงเป็นคนร้ายคนใหม่ที่ร้ายกาจที่สุด แม้กระนั้นเมื่อเจ้าอ็อตโต้เอาเพชรนิลจินดาออกมาให้ มันเปลี่ยนไปเป็นหินเด็กเล่น ซึ่งเจ้าอ็อตโต้ก็ได้เล่าถึงที่มาที่ไปว่าระหว่างหลบซ่อน มันก็ดันหลงไปอยู่ในบ้านของเด็กคนหนึ่งที่กำลังจัดงานวันเกิด แล้วบังเอิญไปมองเห็นเจ้าหินเด็กเล่นชิ้นนี้เข้า มันหลงรักในทันทีทันใด ก่อนที่จะตกลงใจแลกเปลี่ยนเพชรนิลจินดากับหินเด็กเล่น สำหรับกรูแล้วนี่ก็เป็นราวกับการเอาอนาคตของเขาไปเขวี้ยงทิ้งอย่างยิ่งจริงๆ เรื่องราวความระส่ำระสายจะคืออะไร จะต้องคอยติดตามกันถัดไป
มาในภาคนี้ได้ผู้กำกับมาเป็นแพ็คถึง 3 คนเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น “ไคล์ บัลดา” (จาก Minions ภาคที่แล้ว), “กางรด อเบลสัน” (จากหนังสั่น Yellow Light) รวมทั้ง “โจนาธาน เดล วัล” (จาก The Secret Life of Pets 2) ที่ไม่รู้จักว่าการผนึกกำลังในคราวนี้จะหมายคือมาช่วยเหลือกันประคองหนังหัวข้อนี้ให้สตรองขึ้นหรือเปล่า แต่ว่าบอกได้เลยว่า…ผู้กำกับยิ่งมากก็ยิ่งทำให้หนังรู้สึกวิ่งกันไปคนละแฉกเพิ่มมากขึ้นไปด้วย
Minions 2: The Rise of Gru ก็ยังคงมากับสูตรสำเร็จเดิมๆแบบภาคที่แล้วเกือบเป๊ะ เป็นหนังกะมาขายความเบิกบานใจรวมทั้งความน่ารักน่าเอ็นดูแบบไม่รู้จักประสีประสาของไม่นเนียมส์ให้เพลิดเพลินๆซึ่งแน่ๆว่าถูกจุดนั้นหนังก็สามารถตอบปัญหาผู้ชมและก็สร้างสีสันความเพลิดเพลินก้าวหน้าตลอดทั้งประเด็นนี้ ความใสสะอาดซื่อสไตล์ไม่นเนียนส์ก็ยังคงมีเสน่ห์อยู่ถัดไป เหล่าตัวจี๊ดดดด! อย่าง บ็อบ, เควิน, สจ๊วต ยังคงแสบสันต์อย่างเคย เสริมเติมในภาคเป็น อ็อตโต้ ที่เป็นพวกตัวป่วนลักขโมยซีนประจำหัวข้อนี้
เป็นก็จำเป็นต้องเห็นด้วยเลยว่า ตลอดเวลาเกือบจะ 90 นาทีของหนังประเด็นนี้เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะรวมทั้งความสนุกสนานที่เชิญชวนขำแบบดำเนินการเจริญ แม้กระนั้นถ้าว่ามองดูถึงแก่นแท้และก็เนื้อในของหนังหัวข้อนี้นั้น กลับต้องมาพบว่าหนังเกือบจะไม่มีอะไรปรับปรุงขึ้นจากครั้งก่อนสักเท่าไหร่เลย ตอกย้ำซ้ำเติมความจำเจเข้าไปซ้ำอีกเมื่อภาคนี้ยังเป็นภาคเล่าย้อนไปยุคที่ กรู ยังอายุเพียงแค่ 10-11 ขวบ ขณะที่ฝึกเป็นคนร้ายตั้งแต่เด็กๆซึ่งหัวข้อนี้พวกเราคงจะเคยได้ฟังได้ฟังมาแล้วจากในหนัง Despicable Me มากมายภาค…จริงไหม?
ทำให้ Minions 2: The Rise of Gru เป็นการเล่าวนอยู่ในอ่าง รายละเอียดอาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีแค่เพียงถือมือเดียว แม้กระนั้นถูกเอามาแผ่ขนาดออกไปด้วยการผลิตสีสันและก็มุกตลกขบขันใสๆของพวกไม่นเนียนส์ ถ้ามาพินิจพิเคราะห์ในองค์ประต่างๆมองนั้น หนังยังออกจะขาดความเอาใจใส่ในรายละเอียดอยู่ในหลายจุด โดยยิ่งไปกว่านั้นกรุ๊ป Vicious 6 ที่ใส่เข้ามาไม่ได้ต่างอะไรกับตัวประกอบในหนังการ์ตูนที่ฉายตอนเวลาเช้าวันเสาร์อะไรทำนองนั้นเลย เป็นตัวร้ายที่ไม่มีซึ่งน้ำหนักรวมทั้งแหล่งที่มา เป็นราวกับพวกตนเองที่ทราบชะตาชีวิตจะตายในตอนสุดท้ายในขณะนี้อะไรทำนองนั้น
รวมทั้งการที่มีผู้กำกับมาช่วยทำงานร่วมกันถึง 3 คน เกือบทำให้เนื้อหนังทั้งยังเรื่องไปร่วมกันมิได้เสียแล้ว เนื่องจากจะพินิจได้ว่าโทนหนังสักครู่ก็กระโจนไปๆมาๆอยู่บางจังหวะ แม้ว่าจะยังเล่าได้บันเทิงใจและก็ทำให้ผู้ชมเชื่อฟังไปได้ แม้กระนั้นประเดี๋ยวอยู่ๆอยู่กึ่งกลางทะเลทราย อยู่ๆกระดอนมาฝึกหัดกังฟูเฟะเพลินใจ ซ้ำร้ายยิ่งไปกว่านั้นยังได้อีกทั้ง “มิเชล โหย่ว” หรือ “ทาราจิ พี. เฮนสัน” มาเป็นตัวละครใหม่ แม้กระนั้นหนังกลับมิได้ให้ความเอาใจใส่อะไรสักเท่าไหร่เลย
แต่ว่าโดยหนังก็แค่นั้นล่ะ แม้กระทั่งหนังจะซ้ำจากจำเจและไม่มีอะไรที่แปลกใหม่ใดๆก็ตามเลย หนังชุดนี้ก็ยังขายได้ไพเราะเพราะพริ้งความเป็นไม่นเนียนส์ ท้ายที่สุดมันก็เป็นหนังที่มอบความสนุกสนานให้ผู้ชมได้ดุเด็ดเผ็ดมันอยู่ดี ถึงมันจะสัมผัสได้ถึงความตันในไอเดียของหนังชุดนี้บ้างและตาม ในขณะที่ยังมีทางอื่นอีกเพียบเลยให้เลือกเดินเกมรวมทั้งเล่าไป และก็โน่นบางครั้งก็อาจจะเป็นจุดที่พลอยทำให้เสน่ห์ของไม่นเนียนส์จำเป็นต้องเสื่อมลงไปด้วยหรือไม่ แม้จะมีภาคใหม่ตามมาอีก…เห็นทีว่าสตูดิโอหนังจำเป็นที่จะต้องคิดคอนเซ็ปต์ให้แปลกหนักๆเสียแล้ว