ไม่เชื่อก็จำเป็นต้องมั่นใจว่า ‘The Black Phone’ หรือ ‘สายหลอน แอบซ่อนวิญญาณ’ กับแพทย์แปลก ‘Doctor Strange’ ฮีโรจากค่าย Marvel มันมีส่วนเกี่ยวข้องกันอยู่นิดๆครับผม เหตุผลก็เนื่องจากว่า สก็อต เดอร์ริกสัน (Scott Derrickson) ผู้กำกับสายสยองขวัญที่เคยสร้างชื่อใน ‘Sinister’ อีกทั้ง 2 ภาค รวมถึง ‘The Exorcism of Emily Rose’ (2005) เอ็งเคยแวบไปดูแล ‘Doctor Strange’ (2016) มาก่อนแล้วหนหนึ่ง
แล้วจริงๆเดอร์ริกสันคนเขียนบทคู่บารมี ซี โรเบิร์ต คาร์กิลล์ (C. Robert Cargill) ที่เคยเขียนบทร่วมกันอีกทั้ง ‘Sinister’ (2012) ‘Sinister 2’ (2015) รวมทั้งแพทย์แปลกภาคแรก ก็มีความตั้งอกตั้งใจไว้แล้วล่ะว่าจะกลับมาควบคุมภาคต่อ ‘Doctor Strange in the Multiverse of Madness’ (2022) แม้กระนั้นเนื่องจากว่าไอเดียขัดแย้ง เดอร์ริกสันกับคาร์กิลล์ก็เลยขอบาย หันกลับมาสร้างภาพยนตร์สยงขวัญทุนต่ำในแบบที่รู้จัก กระทั่งออกมาเป็น The Black Phone ได้สุดท้าย
ที่คนเขียนกล่าวว่าหนังประเด็นนี้เป็นหนังสยองขวัญทุนต่ำ อันนี้จำต้องย้ำว่าทุนเค้าต่ำเตี้ยเรี่ยดินจริงๆครับ ด้วยเหตุว่าหนังสยองขวัญเรื่องใหม่ปัจจุบันจากค่าย ‘บลัมเฮาส์ โปรดักชันส์’ (Blumhouse Productions) ประเด็นนี้ เขาใช้ทุนสร้างเพียงแค่ 18.8 ล้านเหรียญเองนะครับ แม้กระนั้นมองเห็น Low Cost อย่างงี้ ทำรายได้ฉายในต่างถิ่นฟาดไปแทบ 100 ล้านเหรียญ พร้อมทั้งข้อคิดเห็นที่จัดว่าค่อนไปทางบวกเป็นส่วนมาก
หนังประเด็นนี้เป็นหนังที่เดอร์ริกสันและก็คาร์กิลล์ร่วมมือกันปรับเปลี่ยนเรื่องสั้นความยาว 30 หน้า จากผลงานหนังสือรวมเรื่องสั้นแนวสยองขวัญติดอันดับ The New York Times Best Sellers ที่มีชื่อว่า ’20th Century Ghosts’ (2015) เขียนโดย โจ ฮิลล์ (Joe Hill) ซึ่งเขาก็คือลูกชายของ ‘สตีเฟน คิง’ (Stephen King) เจ้าพ่อสยองขวัญระดับตำนานนั่นเอง รวมทั้งยังได้พี่ อีธาน ฮอว์ก (Ethan Hawke) ที่เคยร่วมงานกันมาแล้วใน ‘Sinister’ (2012) กลับมาร่วมชายคาบลัมเฮาส์อีกรอบ
เรื่องราวของ The Black Phone เกี่ยวกับเรื่องของ เด็กชาย ‘ฟินนีย์ ชอว์’ (Mason Thames) เด็กผู้ชายประหม่าแม้กระนั้นมีแววอัจฉริยะวัย 13 ปี ที่ถูกฆาตกรโรคจิตโรคทางจิตภายใต้หน้ากากที่มีนามว่า ‘เดอะ เอ็งร็บเบอร์’ (Ethan Hawke) ลักพาตัวไปขังเอาไว้ในห้องใต้ดินที่แสนจะอับทึบรวมทั้งเงียบจนกระทั่งเกือบจะไม่มีผู้ใดได้ยินเสียงวิงวอน แต่ว่าในห้องนั้นกลับมีบางอย่างอยู่ ซึ่งก็คือโทรศัพท์โบราณสีดำเครื่องหนึ่งที่ห้อยอยู่บนฝาผนังในห้องนั้น
ทันทีทันใด เหตุเหนือธรรมชาติก็เกิดขึ้น เมื่อน้องกลับได้ยินเสียงโทรศัพท์ดัง ถึงแม้ว่าตัวมันเองไม่มีซึ่งสัญญาณ เมื่อฟินนีย์รับสาย ปรากฏว่าโทรศัพท์เครื่องนี้ อันที่จริงแล้วเป็นโทรศัพท์ผีสิง ปลายสายเป็นเสียงจากวิญญาณของเหยื่อคนก่อนๆของเดอะ เอ็งร็บเบอร์ ที่อุตสาหะแผดเสียงมาถึงฟินนีย์ เพื่อช่วยเหลือไม่ให้น้องเกิดเหตุซ้ำรอยราวกับเหยื่อคนก่อนๆ
เนื่องจากว่าตัวเรื่องราวของหนังเล่าภายใต้บรรยากาศของเมืองโคโลราโดสมัย 70’s ซึ่งจริงๆยุคนี้นับว่าเป็นสมัยเรืองรองของคดีการสังหาร ลักพาตัว ฆาตกรโรคจิตเป็นทุนเดิม ตัวหนังก็เลยจับเอาบรรยากาศความหวาดกลัวรวมทั้งความกลัดกลุ้มอัปยศหัวใจจากสมัย 1970 มาสร้างบรรยากาศ ปูเรื่องให้ทราบถึงบรรยากาศความสยองขวัญผสมทุกข์ใจของผู้ที่อยู่ในล้อมของเรื่อง และเป็นแรงส่งให้พวกเรารู้สึกถึงการเคารพกรรมวิธีเล่าแบบหนังสยองขวัญสมัยเก่าไปด้วยพร้อมเพียงกัน ซึ่งจะว่าไปก็มีความคล้ายคลึงกับการเซตบรรยากาศความสยดสยองผสมคัลต์สมัย 80’s ในซีรีส์ ‘Stranger Things’ อยู่เช่นกันครับ
แม้กระนั้นทั้งนี้ทั้งนั้น ตัวหนังเองก็มิได้บากบั่นจะเล่นดนตรีโหมกระหน่ำฉากชั่วร้ายเลือดสาด หรือใส่ Jump Scare ตึ่งโป๊ะจ้ายล่อให้ตกใจครับ ตรงกันข้าม ตัวหนังกลับเลือกเสื่ยงที่จะเล่าด้วยพล็อตลูกผสมระหว่างพล็อตหนังเฉือนแบบสแลชเชอร์ (Slasher) หนังเอาชีวิตรอดในที่ปิด วิญญาณอยู่ รวมทั้งพล็อตแนว Supernatural หรือแนวเหนือธรรมชาติ ที่เชื้อเชิญให้รำลึกถึงพล็อตสยองขวัญผสมเหนือธรรมชาติที่วางพล็อต ‘ชง–ปู–เก็บกลับ’ สไตล์สตีเฟน คิง ที่บางทีอาจเชื้อเชิญให้ระลึกถึง ‘It’ (2017) หรือแม้กระทั้ง ‘Sinister’ (2012) อยู่นิดๆเช่นกัน
ตัวหนังสามารถควบคุมโทนเรื่อง และก็พล็อตออกมาได้ออกจะดีเลยล่ะครับผม ถึงแม้ตัวหนังในองก์แรกจะก่อให้มีความรู้สึกว่าดำเนินเรื่องเนือยๆแล้วก็มีลักษณะอาการกระโดดๆผ่านๆไม่ยินยอมปูเรื่องบางเรื่องที่ควรปูไปบ้าง เนื่องจากย้ำปูเรื่องของฟินนีย์ที่เป็นเด็กฉลาดหลักแหลมแต่ว่าโดนทำร้าย โดนบูลลี่เป็นหลัก แต่ว่าก็จำเป็นต้องชื่นชอบว่า ตัวบทสามารถวางโครงเรื่องได้เฉลี่ยวฉลาดทั้งยังการวางพล็อต และก็เบาๆวางจุดหักมุมของเรื่องเอาไว้ภายใต้การเล่าแบบนิ่งๆเน้นย้ำฉากความร้ายแรงที่จัดจ้าติดเรต R แม้กระนั้นตัวหนังกลับพึ่งพาอาศัย Jump Scare น้อยมาก แม้กระนั้นสามารถเล่าได้หม่นหมอง น่าสยดสยองได้เชิญชวนตกใจดูเหมือนจะทุกดอก
รวมทั้งตัวหนังก็เฉลี่ยวฉลาดสำหรับในการวางรูปทรงระหว่างการเอาชีวิตรอดของน้องฟินนีย์จากห้องปิดตาย แล้วก็ความโรคทางจิตของคนร้ายหน้ากากภูติผีปีศาจ พร้อมๆไปกับเส้นเรื่องของนักแสดงที่มีความ ‘เหนือธรรมชาติ’ เป็นคนรอเปิดทางร่องรอยจากด้านนอกไปด้วย ก็เลยยิ่งทำให้ชักชวนให้เอาใจช่วยทั้งสองไปด้วย กล่าวได้ว่าเป็นการลุ้นระทึกที่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ แอบชวนขันร้ายชักชวนไหล่สั่น มีสารบางสิ่งบางอย่างให้คิดต่อ ก่อนที่จะปิดจ็อบด้วยฉากชั่วร้ายสาแก่ใจแบบสุดเขตเรต R ทำให้หนังประเด็นนี้นับว่าเป็นหนังสยองขวัญ-ทริลเลอร์ที่ครบรสแบบไม่มีอะไรค้างคาจริงๆครับผม
ในทางของการแสดง แน่ๆว่าผู้คนจำนวนมากอาจจะจุดโฟกัสไปที่น้า อีธาน ฮอว์ก (Ethan Hawke) ขโมยโรคทางจิตไล่จับเด็ก ที่หากแม้นักเขียนแอบมีความคิดว่าต้องการที่จะให้คุณน้ามึงได้โชว์ฟอร์มกว่านี้เป็นจำนวนมากแต่ว่าเพียงเท่านี้ก็นับว่าไม่ผิดหวังแล้วล่ะ เต็มไปด้วยความไม่น่าไว้วางใจรวมทั้งโรคทางจิตแบบสุดๆส่วนน้อง เมสัน เธมส์ (Mason Thames) ในบท ฟินนีย์ ชอว์ ที่แสดงหนังประเด็นนี้เป็นครั้งแรก ก็จัดว่าอดทน ฉายแววความเป็นเด็กป๊อด รวมทั้งชาญชัยได้ครบถ้วนบริบูรณ์ในผู้เดียว และก็น้อง เมเดอลีน แม็กกรอว์ (Madeleine McGraw) ในบท ‘เกว็น’ น้องสาวของฟินนีย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการยิงมุกของน้องนี่เป็นจี๊ดใช้ได้เลย
โดยสรุป ‘The Black Phone สายหลอน หลบซ่อนวิญญาณ’ เป็นหนังผี-ทริลเลอร์-เอาชีวิตรอด ผสม Supernatural ในต้นแบบของ สตีเฟน คิง ซึ่งสามารถสร้างบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความอึดอัด วางพล็อตหักมุมได้ชักชวนตกใจ ขับเรื่องด้วยความฉลาด ท้า เป็นเหตุได้ผลสำเร็จ น่าเอาใจช่วย ปูและก็เก็บกลับได้ดิบได้ดี แทรกด้วยมุกขบขันร้ายกาจเล็กๆไว้แก้มันด้วย นี่บางทีอาจไม่ใช่หนังที่ถูกอกถูกใจคนชอบดูหนังสยองขวัญสายคลุ้งคาวเลือด สยองขวัญแบบตู้มๆแต่ว่าเป็นหนังลุ้นระทึกที่ได้บรรยากาศลุ้นบวกสยดสยองที่เหมาะสมกับการดูในโรงภาพยนต์เพื่อได้อรรถรสอย่างเต็มเปี่ยม รับประกันว่ามองจบแล้วคงจะหลอนเสียงโทรศัพท์ไปอีกนาน…